หัวข้อ
ยกกระชับหน้าผากคืออะไร? แล้ว Endotine (เอนโดไทน์) กับ Bone Tunneling ต่างกันอย่างไงวันที่
2025-07-07วิว
92
Medical Column
ยกหน้าผากแบบ Endotine (เอนโดไทน์) และ Bone Tunneling ต่างกันอย่างไร?
ในยุคที่ใคร ๆ ก็อยากดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ การยกกระชับใบหน้าส่วนบน (Upper Face Lift) โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากและคิ้ว จึงได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เพราะช่วยแก้ปัญหาคิ้วตก เปลือกตาหนัก และใบหน้าดูเหนื่อยล้า โดยไม่จำเป็นต้องมีแผลยาวหรือการพักฟื้นนานแบบในอดีต
หนึ่งในคำถามยอดฮิตจากผู้ที่สนใจศัลยกรรมประเภทนี้คือ:
“ควรเลือกยกหน้าผากด้วย Endotine (เอนโดไทน์) หรือ Bone Tunneling ดี?”
บทความนี้จะพาคุณมาทำความรู้จักกับทั้งสองเทคนิค พร้อมเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของแต่ละแบบ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเองได้มากที่สุด
✨ ยกหน้าผาก คืออะไร?
การยกหน้าผาก (Forehead Lift) คือการศัลยกรรมเพื่อดึงผิวบริเวณหน้าผากและคิ้วให้ยกสูงขึ้น ช่วยให้ตาดูเปิดกว้าง ใบหน้าดูสดใส อ่อนเยาว์ ลดความรู้สึกเหนื่อยหรือดูดุได้อย่างชัดเจน โดยไม่จำเป็นต้องตัดหนังตา
หลายคนแม้จะยังอายุไม่มาก แต่กลับมีปัญหาเปลือกตาหนัก ชั้นตาหาย หรือแต่งตาไม่ขึ้น ซึ่งเกิดจากคิ้วที่ตกลงมาโดยไม่รู้ตัว การยกคิ้วสามารถช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างตาเดิม
การยกหน้าผากยังมีประโยชน์ในเรื่องของการลดริ้วรอยหน้าผาก และช่วยลดความเด่นของโหนกคิ้ว ทำให้หน้าดูละมุนและอ่อนเยาว์ยิ่งขึ้น
✅ ใครบ้างที่เหมาะกับการยกหน้าผาก?

-
คิ้วตก จนเบียดชั้นตา ทำให้ตาดูง่วง
-
เปลือกตาหนัก ชั้นตาหาย แต่งตาไม่ติด
-
หน้าดูเหนื่อยล้า ทั้งที่พักผ่อนเพียงพอ
-
มีริ้วรอยหน้าผากลึก หรือขมวดคิ้วจนเกิดร่องถาวร
-
โหนกคิ้วเด่น หน้าดูแข็ง
-
หนังตาเริ่มหย่อน แต่ยังไม่ถึงขั้นต้องตัดหนังตา
-
เคยทำตาสองชั้นแล้วไม่เห็นชั้นตาชัด
-
อยากปรับตาให้ดูหวานขึ้น โดยไม่ทำตาโดยตรง
👀 เทคนิคการผ่าตัด: ทำแบบส่องกล้องได้ไหม?
ได้ค่ะ! เทคนิคที่นิยมที่สุดในปัจจุบันคือ Endoscopic Forehead Lift หรือการผ่าตัดแบบส่องกล้อง แผลเล็ก ซ่อนในไรผม ไม่ต้องเปิดแผลยาวเหมือนแบบดั้งเดิม
ข้อดีของเทคนิคส่องกล้อง

🔧 เทคนิค Bone Tunneling คืออะไร?
Bone Tunneling เป็นเทคนิคที่ไม่ใช้วัสดุฝังใดๆ แพทย์จะเจาะโพรงใต้กระดูกเพื่อเย็บเนื้อเยื่อให้ติดกับเยื่อหุ้มกระดูกโดยตรง รอให้พังผืดตามธรรมชาติเข้ายึดในตำแหน่งที่ต้องการ
จุดเด่นของ Bone Tunneling
-
ไม่มีสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย
-
เหมาะกับผู้ที่ผิวบาง หนังศีรษะบาง
-
เหมาะกับผู้ที่อายุยังน้อย คิ้วตกน้อย
-
แผลเล็กเช่นกัน ซ่อนในไรผม
📌 เทคนิค Endotine (เอนโดไทน์) คืออะไร?
Endotine หรือ เอนโดไทน์ คือแผ่นวัสดุเล็กๆ คล้ายตะขอ ทำจากวัสดุชีวภาพ (Bioabsorbable) ที่สามารถสลายได้ในร่างกายภายใน 6–12 เดือน ใช้ในการยึดเนื้อเยื่อบริเวณหน้าผากและคิ้วให้ยกขึ้นอย่างแม่นยำ
จุดเด่นของ Endotine
-
ยึดเนื้อเยื่อได้แน่นตั้งแต่วันแรก ไม่ต้องรอพังผืด
-
ช่วยให้แพทย์กำหนดตำแหน่งยกได้แม่นยำ
-
แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว
-
วัสดุละลายหมด ไม่ตกค้างในร่างกาย
-
ผ่านการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกา
⚖️ เปรียบเทียบ Endotine vs Bone Tunneling

✅ เหมาะกับใคร?
Bone Tunneling เหมาะกับใคร?
🟢 ไม่อยากมีสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย → เพราะ Bone tunneling ไม่ใช้วัสดุฝังใดๆ
🟢 ผิวบาง / หนังศีรษะบาง → ไม่มีโอกาสคลำเจออุปกรณ์หรือรอยนูนใดๆ
🟢 อายุยังน้อย / คิ้วตกไม่มาก → ต้องการยกเล็กน้อยแต่ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ตึงเกินไป
🟢 ต้องการแผลเล็ก และไม่มีวัสดุตกค้าง → แผลซ่อนในไรผม และไม่ต้องผ่าตัดเอาอุปกรณ์ออกในอนาคต
🟢 กังวลเรื่องแผลเป็น / การคลำเจอสิ่งแปลกปลอม → Bone tunneling ทำให้แผลเนียนและไร้วัสดุให้รำคาญใจ
✅ Endotine (เอนโดไทน์) เหมาะกับใคร?
🔵 ต้องการผลชัดเจนตั้งแต่วันแรก → Endotine ใช้อุปกรณ์ยึดเนื้อเยื่อได้แน่นทันที ไม่ต้องรอให้พังผืดยึด
🔵 คิ้วตกมาก / เปลือกตาหนักมาก / อายุ 35+ → ยกได้ชัด เหมาะกับเคสที่ต้องการแรงพยุงเยอะ
🔵 ผิวหนา / ไขมันเยอะ / หนังศีรษะหนา → อุปกรณ์ Endotine ยึดแน่นได้ดีกว่าในสภาพผิวหนา
🔵 ต้องการฟื้นตัวเร็ว → ผ่าตัดเร็วกว่าเล็กน้อย ยึดแน่นทันที ลดโอกาสหลุดหรือคลายตัว
🔵 ไม่กังวลเรื่องวัสดุฝังชั่วคราวในร่างกาย → Endotine สลายไปเองใน 6–12 เดือน ปลอดภัย
รีวิวแผลเป็นหยกหน้าผากลังผ่าตัดที่เกาหลี

💬 FAQ: ยกหน้าผาก Bone Tunneling vs Endotine
1. ยกคิ้วกับยกหน้าผากต่างกันไหม?
ยกคิ้วคือการยกเฉพาะบริเวณคิ้วให้สูงขึ้น ส่วนยกหน้าผากจะยกทั้งบริเวณหน้าผากและคิ้ว เหมาะกับผู้ที่มีริ้วรอยหน้าผากร่วมด้วย หรือโหนกคิ้วเด่น
2. Bone tunneling กับ Endotine คืออะไร ต่างกันยังไง?
Bone tunneling คือการยกด้วยการเจาะกระดูกโดยไม่ใส่วัสดุใดๆ ส่วน Endotine คือการยกโดยใช้วัสดุยึดเนื้อเยื่อ (ละลายได้ใน 6–12 เดือน) เพื่อให้ยกแน่นทันที
3. แบบไหนเจ็บน้อยกว่า?
ทั้งสองแบบทำภายใต้ยาชาหรือยานอนหลับ เจ็บน้อย แต่ Endotine อาจฟื้นตัวไวกว่า เพราะยึดแน่นตั้งแต่แรก ส่วน Bone tunneling ต้องรอให้พังผืดเกาะ
4. ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน?
แม้ Endotine จะละลายภายใน 1 ปี แต่ผลลัพธ์อยู่ได้ 5–10 ปี เช่นเดียวกับ Bone tunneling เพราะผิวถูกยึดไว้ด้วยพังผืดตามธรรมชาติ
5. มีแผลหรือไม่? แผลอยู่ตรงไหน?
ทั้งสองแบบมีแผลเล็กมาก ซ่อนอยู่ในไรผม ขนาดประมาณ 1–2 ซม. ไม่เห็นจากภายนอก
6. แบบไหนเหมาะกับคนผิวบาง / หนังศีรษะบาง?
Bone tunneling จะเหมาะกว่า เพราะไม่มีวัสดุฝัง อาจไม่รู้สึกอะไรใต้ผิวเลย ต่างจาก Endotine ที่อาจคลำเจอช่วงแรกๆ
7. อายุเท่าไหร่ถึงทำได้?
ส่วนใหญ่เริ่มทำได้ตั้งแต่ อายุ 25 ปีขึ้นไป หากมีปัญหาคิ้วตก ชั้นตาหาย หรือหน้าดูเหนื่อย เหมาะกับทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
8. หลังทำใช้เวลาพักฟื้นกี่วัน?
โดยทั่วไป พักฟื้นประมาณ 3–7 วัน อาจมีรอยบวมช้ำเล็กน้อย แต่งหน้า/ทำผมปิดได้ กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ภายใน 1 สัปดาห์
9. ต้องโกนผมหรือเปล่า?
ไม่จำเป็นต้องโกนผมทั้งหมด อาจมีการโกนเฉพาะจุดเล็กๆ ตรงบริเวณที่เปิดแผล (แอบอยู่ในไรผม)
10. ถ้าเคยทำตาสองชั้นแล้ว แต่ชั้นตายังดูหนัก ทำได้ไหม?
ได้ค่ะ! การยกคิ้ว/หน้าผากสามารถเปิดชั้นตาให้ชัดขึ้น แก้ปัญหาหนังตาตกซ้ำหลังทำตาได้ โดยไม่ต้องผ่าตัดหนังตาซ้ำ
📞 สนใจปรึกษาหรือจองคิวกับแพทย์
-
LINE: @abthai
